อ.หนู โต้กลับเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ขัดผลประโยชน์
“ดีเอสไอ” ตรวจหลักฐานเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ร้องสอบ “หนู กันภัย” เข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ หลังผู้ถูกพาดพิงอ้างแค่ขัดผลประโยชน์
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่วัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ พระใบ ฏีกาเทียนชัย สุภทโทร เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ได้พาผู้สื่อข่าวสำรวจการก่อสร้างหลวงปู่ทวด องค์ใหญ่และสูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงจากพื้นดินกว่า 45 เมตร ใช้งบประมาณการก่อสร้างกว่า 70 ล้านบาท หลังจากที่ทางวัดได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายสมพงษ์ กันภัย หรืออาจารย์หนู กันภัย ในกรณีที่จัดสร้างวัตถุมงคลร่วมกับทางวัดได้เงินมากว่า 300 ล้านบาท แต่ไม่นำเงินมามอบให้วัดเพื่อใช้ก่อสร้างองค์หลวงปู่ทวด ทำให้การก่อสร้างเกิดปัญหา และถูกประชาชนยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาให้ตรวจสอบทาง วัดกรณีเงินบริจาคหายไป ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างมีความคืบหน้าไปเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ จากที่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปลายปี 2551
เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ กล่าวว่า โครงการก่อสร้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่และสูงที่สุดในโลก เป็นความตั้งใจของตนเอง ที่จะสร้างขึ้นโดยเริ่มวางศิลาฤกษ์เมื่อปลายปี 2551 มีอาจารย์หนู กันภัย นักสักยันต์ชื่อดังของประเทศยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ในการดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลต่างๆเพื่อหาเงินในการก่อสร้าง ซึ่งตอนนั้นมีการประเมินการก่อสร้างไว้ที่งบประมาณ 70 ล้านบาท เฉพาะตัวองค์หลวงปู่ทวดใช้งบ 18.5 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการก่อสร้างอุทยานพุทธ และฐานโดยรอบขององค์หลวงปู่ทวด ต่อมาอาจารย์หนู ได้จะสร้างและจำหน่ายวัตถุมงคล รุ่นต่างๆ ได้แก่ เหรียญยันต์ 5 แถวหนุนดวง เหรียญดวงพระประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน และเหรียญพระพุทธเจ้าชนะมาร ทำให้มีผู้สนใจร่วมบริจาคจำนวนมาก โดยรายได้ทั้งหมด วัดมอบให้อาจารย์หนู ในฐานะประธานในการจัดสร้างเป็นผู้ดูแล ซึ่งการจัดสร้างแต่ละรุ่นมียอดขายจนพิมพ์ออกมาจำหน่ายแถบไม่ทัน
เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ กล่าวอีกว่า ในช่วงปี 2552-2553 อาจารย์หนู ได้มอบเงินให้กับทางวัดเพียงแค่ 15 ล้านบาท ที่เหลืออาจารย์หนู นำไปจัดซื้อที่ดินถวายวัด แต่กลับใส่ชื่อ น.ส.อรวรรณ วิลาทอง ภรรยาของอาจารย์หนู และบอกว่าจะโอนให้ภายหลัง จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่โอนคืนวัด ต่อมาอาจารย์หนู ก็หยุดการมอบเงินให้ทางวัดและหายไป จนประชาชนที่เคยบริจาคเงินจำนวนมาก รวมตัวกันทำหนังสื่อร้องเรียนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาให้ตรวจสอบทางวัด ว่าเงินเหล่านั้นหายไปไหน ตนเองจึงสอบถามไปยังอาจารย์หนู ก็ถูกด่ากลับมา ภายหลังไปสืบหาพยานหลักฐานกับคนที่บริจาค ก็พบว่ามีเงินจำนวนมากที่อาจารย์หนู นำไปใช้จ่ายอย่างอื่นเช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ และสิ่งของอื่นๆ มูลค่ามหาศาล จึงได้เข้าร้องเรียนให้ทางดีเอสไอช่วยตรวจสอบเรื่องนี้
ด้านอาจารย์หนู กล่าวว่า เรื่องการซื้อที่ดินติดกับวัด 5 ไร่ ตนเองแบ่งให้วัด 3 ไร่ โดยใช้เงินส่วนตัวไม่เกี่ยวกับเงินบริจาค ที่ทางเจ้าอาวาสระบุว่ามียอดกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายให้ทีมทนายแจ้งความดำเนินคดีกับ เว็บไซต์ต่างๆที่ลงข้อความที่ทำให้ตนเองและครอบครัวเสียหาย รวมทั้งการลงรูปภาพและข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตก่อนเป็นอันดับแรก และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีกับตัวบุคคลที่โพสต์ข้อความและ รูปภาพของตนเองและครอบครัวไปในทางเสื่อมเสีย
สำหรับจุดเริ่มต้นของโครงการสร้างหลวงปู่ทวด เริ่มมาจากได้รู้จักกับพระใบฏีกาเทียนชัยที่วัดแห่งหนึ่ง โดยมาแจ้งวัตถุประสงค์ให้ตนเองช่วยเหลือโดยจะสร้างเมรุภายในวัด จึงเดินทางไปดูที่วัดดังกล่าว ขณะนั้นทรุดโทรมมาก แต่ตนเองมีจิตศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวดและเห็นสภาพแวดล้อมแล้วเหมาะกับการ สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ประชาชนทางภาคเหนือได้กราบสักการะ โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
"รายได้ของผมเองส่วนมากได้มาจากการสักยันต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็น หลัก และการจำหน่ายวัตถุมงคลส่วนหนึ่ง ในช่วงแรกทางวัดได้จัดพิธีหนุนดวง 30 ครั้ง โดยผมเป็นประธานพิธี รายได้ครั้งหนึ่งประมาณ 1 ล้านบาท ทางวัดเป็นผู้ดำเนินการและเก็บเงินทั้งหมด ผมไม่มีส่วนรู้เห็นเงินยอดดังกล่าว แต่ได้ร่วมบริจาคเงินถวายสมทบทุนไปอีกเดือนละ 3 แสน ถึง 5 แสนบาท มีใบอนุโมทนาบุญ ร่วมสามสิบล้านบาท ที่ทางวัดให้มาไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งผมก็เข้าใจว่าทางวัดจะดำเนินการจ่ายเงินค่าก่อสร้างองค์หลวงปู่ทวดตาม ระยะเวลาที่โรงหล่อกำหนด" อาจารย์หนูกล่าวและว่า ต่อมา เจ้าของโรงหล่อที่เป็นคู่สัญญาว่าจ้างสร้างองค์หลวงปู่ทวดได้มาติดต่อทวงถาม เรื่องเงินว่ายังไม่ได้รับตามจำนวนและเวลาที่กำหนด หากเป็นแบบนี้ตนเองจะเป็นผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาผิดสัญญาได้ จึงหยุดส่งเงินบริจาคไปให้ทางวัด โดยหันมาจ่ายให้โรงหล่อเอง ขณะเดียวกันก็ได้ช่วยเหลือวัดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และไม่คิดว่าทางเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้จะมากล่าวหาตนเองเช่นนี้
ขณะที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวว่า เบื้องต้นทางดีเอสไอได้รับคำร้องไว้พิจารณาและมอบหมายให้ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจน์นิรันดร์กิจ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบตามคำร้อง อย่างไรก็ตามคงต้องใช้เวลาหาข้อเท็จจริงสักระยะก่อนพิจารณาว่าคดีมีมูล หรือเข้าข่ายความผิดใด และมีความจำเป็นต้องรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งกรณีดังกล่าวมีการร้องว่ายักยอก ฉ้อโกงทรัพย์ โดยปกติดีเอสไอมีอำนาจดำเนินการคดีฉ้อโกง ลักษณะคดีแนบท้ายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ แต่หากเป็นการฉ้อโกงที่ไม่ได้สลับซับซ้อนต้องสอบถามผู้ร้องว่าจะร้องขอให้ เป็นคดีพิเศษหรือไม่ สำหรับชั้นนี้ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด โดยเฉพาะประเด็นที่ผู้ถูกพาดพิงคืออาจารย์หนู ออกมาให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่าเป็นการร้องเพราะขัดผลประโยชน์เรื่องเงิน บริจาคเท่านั้น.
“ดีเอสไอ” ตรวจหลักฐานเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ร้องสอบ “หนู กันภัย” เข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ หลังผู้ถูกพาดพิงอ้างแค่ขัดผลประโยชน์
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่วัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ พระใบ ฏีกาเทียนชัย สุภทโทร เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ ได้พาผู้สื่อข่าวสำรวจการก่อสร้างหลวงปู่ทวด องค์ใหญ่และสูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงจากพื้นดินกว่า 45 เมตร ใช้งบประมาณการก่อสร้างกว่า 70 ล้านบาท หลังจากที่ทางวัดได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายสมพงษ์ กันภัย หรืออาจารย์หนู กันภัย ในกรณีที่จัดสร้างวัตถุมงคลร่วมกับทางวัดได้เงินมากว่า 300 ล้านบาท แต่ไม่นำเงินมามอบให้วัดเพื่อใช้ก่อสร้างองค์หลวงปู่ทวด ทำให้การก่อสร้างเกิดปัญหา และถูกประชาชนยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาให้ตรวจสอบทาง วัดกรณีเงินบริจาคหายไป ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างมีความคืบหน้าไปเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ จากที่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปลายปี 2551
เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ กล่าวว่า โครงการก่อสร้างหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่และสูงที่สุดในโลก เป็นความตั้งใจของตนเอง ที่จะสร้างขึ้นโดยเริ่มวางศิลาฤกษ์เมื่อปลายปี 2551 มีอาจารย์หนู กันภัย นักสักยันต์ชื่อดังของประเทศยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ในการดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลต่างๆเพื่อหาเงินในการก่อสร้าง ซึ่งตอนนั้นมีการประเมินการก่อสร้างไว้ที่งบประมาณ 70 ล้านบาท เฉพาะตัวองค์หลวงปู่ทวดใช้งบ 18.5 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการก่อสร้างอุทยานพุทธ และฐานโดยรอบขององค์หลวงปู่ทวด ต่อมาอาจารย์หนู ได้จะสร้างและจำหน่ายวัตถุมงคล รุ่นต่างๆ ได้แก่ เหรียญยันต์ 5 แถวหนุนดวง เหรียญดวงพระประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน และเหรียญพระพุทธเจ้าชนะมาร ทำให้มีผู้สนใจร่วมบริจาคจำนวนมาก โดยรายได้ทั้งหมด วัดมอบให้อาจารย์หนู ในฐานะประธานในการจัดสร้างเป็นผู้ดูแล ซึ่งการจัดสร้างแต่ละรุ่นมียอดขายจนพิมพ์ออกมาจำหน่ายแถบไม่ทัน
เจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้ กล่าวอีกว่า ในช่วงปี 2552-2553 อาจารย์หนู ได้มอบเงินให้กับทางวัดเพียงแค่ 15 ล้านบาท ที่เหลืออาจารย์หนู นำไปจัดซื้อที่ดินถวายวัด แต่กลับใส่ชื่อ น.ส.อรวรรณ วิลาทอง ภรรยาของอาจารย์หนู และบอกว่าจะโอนให้ภายหลัง จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่โอนคืนวัด ต่อมาอาจารย์หนู ก็หยุดการมอบเงินให้ทางวัดและหายไป จนประชาชนที่เคยบริจาคเงินจำนวนมาก รวมตัวกันทำหนังสื่อร้องเรียนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาให้ตรวจสอบทางวัด ว่าเงินเหล่านั้นหายไปไหน ตนเองจึงสอบถามไปยังอาจารย์หนู ก็ถูกด่ากลับมา ภายหลังไปสืบหาพยานหลักฐานกับคนที่บริจาค ก็พบว่ามีเงินจำนวนมากที่อาจารย์หนู นำไปใช้จ่ายอย่างอื่นเช่น ซื้อบ้าน ซื้อรถ และสิ่งของอื่นๆ มูลค่ามหาศาล จึงได้เข้าร้องเรียนให้ทางดีเอสไอช่วยตรวจสอบเรื่องนี้
ด้านอาจารย์หนู กล่าวว่า เรื่องการซื้อที่ดินติดกับวัด 5 ไร่ ตนเองแบ่งให้วัด 3 ไร่ โดยใช้เงินส่วนตัวไม่เกี่ยวกับเงินบริจาค ที่ทางเจ้าอาวาสระบุว่ามียอดกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายให้ทีมทนายแจ้งความดำเนินคดีกับ เว็บไซต์ต่างๆที่ลงข้อความที่ทำให้ตนเองและครอบครัวเสียหาย รวมทั้งการลงรูปภาพและข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตก่อนเป็นอันดับแรก และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีกับตัวบุคคลที่โพสต์ข้อความและ รูปภาพของตนเองและครอบครัวไปในทางเสื่อมเสีย
สำหรับจุดเริ่มต้นของโครงการสร้างหลวงปู่ทวด เริ่มมาจากได้รู้จักกับพระใบฏีกาเทียนชัยที่วัดแห่งหนึ่ง โดยมาแจ้งวัตถุประสงค์ให้ตนเองช่วยเหลือโดยจะสร้างเมรุภายในวัด จึงเดินทางไปดูที่วัดดังกล่าว ขณะนั้นทรุดโทรมมาก แต่ตนเองมีจิตศรัทธาในองค์หลวงปู่ทวดและเห็นสภาพแวดล้อมแล้วเหมาะกับการ สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ประชาชนทางภาคเหนือได้กราบสักการะ โดยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
"รายได้ของผมเองส่วนมากได้มาจากการสักยันต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็น หลัก และการจำหน่ายวัตถุมงคลส่วนหนึ่ง ในช่วงแรกทางวัดได้จัดพิธีหนุนดวง 30 ครั้ง โดยผมเป็นประธานพิธี รายได้ครั้งหนึ่งประมาณ 1 ล้านบาท ทางวัดเป็นผู้ดำเนินการและเก็บเงินทั้งหมด ผมไม่มีส่วนรู้เห็นเงินยอดดังกล่าว แต่ได้ร่วมบริจาคเงินถวายสมทบทุนไปอีกเดือนละ 3 แสน ถึง 5 แสนบาท มีใบอนุโมทนาบุญ ร่วมสามสิบล้านบาท ที่ทางวัดให้มาไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งผมก็เข้าใจว่าทางวัดจะดำเนินการจ่ายเงินค่าก่อสร้างองค์หลวงปู่ทวดตาม ระยะเวลาที่โรงหล่อกำหนด" อาจารย์หนูกล่าวและว่า ต่อมา เจ้าของโรงหล่อที่เป็นคู่สัญญาว่าจ้างสร้างองค์หลวงปู่ทวดได้มาติดต่อทวงถาม เรื่องเงินว่ายังไม่ได้รับตามจำนวนและเวลาที่กำหนด หากเป็นแบบนี้ตนเองจะเป็นผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาผิดสัญญาได้ จึงหยุดส่งเงินบริจาคไปให้ทางวัด โดยหันมาจ่ายให้โรงหล่อเอง ขณะเดียวกันก็ได้ช่วยเหลือวัดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และไม่คิดว่าทางเจ้าอาวาสวัดแม่ตะไคร้จะมากล่าวหาตนเองเช่นนี้
ขณะที่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวว่า เบื้องต้นทางดีเอสไอได้รับคำร้องไว้พิจารณาและมอบหมายให้ พ.ต.ท.อนุรักษ์ โรจน์นิรันดร์กิจ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบตามคำร้อง อย่างไรก็ตามคงต้องใช้เวลาหาข้อเท็จจริงสักระยะก่อนพิจารณาว่าคดีมีมูล หรือเข้าข่ายความผิดใด และมีความจำเป็นต้องรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งกรณีดังกล่าวมีการร้องว่ายักยอก ฉ้อโกงทรัพย์ โดยปกติดีเอสไอมีอำนาจดำเนินการคดีฉ้อโกง ลักษณะคดีแนบท้ายพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ แต่หากเป็นการฉ้อโกงที่ไม่ได้สลับซับซ้อนต้องสอบถามผู้ร้องว่าจะร้องขอให้ เป็นคดีพิเศษหรือไม่ สำหรับชั้นนี้ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด โดยเฉพาะประเด็นที่ผู้ถูกพาดพิงคืออาจารย์หนู ออกมาให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่าเป็นการร้องเพราะขัดผลประโยชน์เรื่องเงิน บริจาคเท่านั้น.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น